วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ)
ท่านธมมวิตกโก ภิกขุ หรือพระยานรรัตนราชมานิต
มีนามเดิมว่า ตรึก จินตยานนท์
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2440
ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีระกา
ซึ่งวันนั้นเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
คือ เป็นวันมาฆบูชา ท่านเกิดเมื่อ 07.40 น.
ท่านเล่าว่า เมื่อก่อนที่ท่านจะเกิด
โยมแม่ของท่านได้ออกมาใส่บาตรตามปกติ
พอใส่บาตรพระองค์สุดท้ายเสร็จ
ก็เริ่มเจ็บท้องจึงกลับขึ้นบ้าน

สักครู่ก็คลอดและเป็นการคลอดง่ายมาก
ทั้งที่ท่านเป็นบุตรคนแรกของโยมแม่
ท่านบอกอย่างขำๆ ว่า
“อาตมาไม่ได้ทำให้โยมแม่เจ็บนาน”
ท่านเกิดที่บ้านใกล้วัดโสมนัส

เมื่อโตขึ้นก็ได้เข้าเรียนชั้นประถมที่วัดโสมนัส
และมาต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร
เมื่อตอนจะจบชั้นมัธยมท่านสอบได้ที่ 1 ของสนามสอบ
การสอบในสนามสอบนี้ เป็นการสอบรวมกันหลายโรงเรียน
โดยข้อสอบเดียวกัน
ถ้าจะเปรียบกับสมัยนี้
ก็คงเปรียบได้กับการสอบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ซึ่งสอบพร้อมกันทั้งประเทศ โดยใช้ข้อสอบเดียวกัน
ฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่าท่านสอบได้เป็นที่ 1
ของประเทศไทยในสมัยของท่าน

เมื่อท่านจบจากโรงเรียนมัธยมแล้ว
ท่านตั้งใจจะเรียนวิชาแพทย์ต่อ
เพราะท่านสนใจวิชานี้มาก
เห็นว่าเป็นประโยชน์ที่จะเกื้อกูล
ต่อผู้ที่ต้องทุกขเวทนาต่อการป่วยเจ็บ
แต่โยมพ่อเป็นนักปกครอง
อยากจะให้ท่านได้เป็นนักปกครองตาม
จึงให้ท่านเรียนวิชาการปกครอง เพื่อจะสืบตระกูลต่อไป
เมื่อโยมพ่อปรารถนาเช่นนั้น ท่านก็ตามใจ
โดยไปเข้าเรียนโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในสมัยนั้น
โรงเรียนนี้ท่านเล่าว่าตั้งอยู่ในวังหลวง
ท่านได้เรียนวิชารัฐประศาสนศาสตร์
เมื่อท่านเรียนอยู่ปีสุดท้าย
โรงเรียนนี้ย้ายมาอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปัจจุบัน
และท่านก็จบในปีนั้น นับเป็นบัณฑิตจุฬารุ่นแรก
และท่านสอบได้ที่ 1 อีกด้วย
ท่านธมมวิตกโก ท่านนิยมความเป็นหนึ่ง
ท่านบอกว่าในชีวิตของคนเรา
ถ้าทำอะไรให้เป็นหนึ่งแล้ว มักจะดีเสมอ
เมื่อจะทำการงานหรือทำสิ่งใดก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่ง
มุ่งอยู่ในงานนั้นจนสำเร็จ
แม้การทำสมาธิ ก็คือ การทำจิตให้เป็นหนึ่ง คือ เอกัคตา

ท่านบอกว่า ของในโลกนี้ ถ้ามีหนึ่งแล้ว มีค่าเป็นของดี
ในทางโลกเมื่อจะทำงานก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่ง มุ่งมั่นในงานนั้น
ในทางธรรมเมื่อจะทำสมาธิก็ต้องทำใจให้เป็นหนึ่ง คือ เอกัคตา
การสอบถ้าได้ที่ 1 ก็ดี
หรือจะแต่งงานก็ควรมีเมียเดียว คือ มีเพียงหนึ่งไม่เดือดร้อน
ท่านบอกว่า โลกไม่นิยมคนแพ้ โลกชอบคนชนะ
ฉะนั้นเมื่ออยู่ในโลก ต้องเป็นคนชนะต้องเป็นหนึ่ง เหมือนกับมวย
คนแพ้ไม่มีใครรู้จักไม่มีใครสงสาร
หรือในนิยายคนที่เป็นพระเอก ต้องชนะ
ส่วนท่านธมมวิตกโกนั้น ผมเห็นว่าท่านทำได้อย่างที่ท่านสอนจริงๆ
เพราะเมื่อสมัยเป็นฆราวาส ท่านสอบก็ได้ที่ 1
รับราชการผลงานท่านก็เป็นหนึ่ง
เมื่อมีคนรักก็มีเพียงหนึ่ง
แม้เมื่อมาอุปสมบท ท่านไม่ได้ต่อสู้ เพื่อความเป็นหนึ่งกับใครอีก
ท่านแสวงหาแต่ความสงบเพียงประการเดียว
แต่เหตุการณ์ก็บอกว่า ท่านเป็นหนึ่งของพระนักปฏิบัติทีเดียว
ความเป็นหนึ่งของท่านนี้ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเมื่อท่านมีชีวิตอยู่
แม้เมื่อมรณภาพท่านก็เป็นหนึ่งอีกครั้ง
กล่าวคือ คุณละมูน มีนะนันท์ ได้สร้างศาลาถวายวัดเทพศิรินทร์ฯ
ชื่อศาลาละมูนนิรมิต
สร้างเสร็จแล้วฉลอง พอดีท่านธมมวิตกโกมรณภาพ
และท่านก็ได้เป็นศพหนึ่งที่มาบำเพ็ญกุศลที่ศาลาละมูนนิรมิต
นับว่าท่านครองความเป็นหนึ่งมาแต่เกิด
คือ เป็นลูกคนแรกและเป็นหนึ่ง
แม้เมื่อมรณภาพแล้วดังที่ได้กล่าวมา